พ.ร.บ. โลกร้อน: กฎหมายใหม่ที่ผู้ประกอบการต้องรู้

ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างไรกับกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่?
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคธุรกิจ ไม่ใช่แค่จากภาครัฐ แต่รวมถึงลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางการค้า ล่าสุด รัฐบาลไทยกำลังผลักดัน “ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ. โลกร้อน ปัจจุบันอยู่ในระหว่างปรับแก้ไข ก่อนจะนำส่งร่างกฎหมายฉบับนี้ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ จากนั้นจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ก่อนนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2570
ทำไมกฎหมายนี้สำคัญต่อธุรกิจ?
ร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามพันธสัญญาในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งไทยให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 หากธุรกิจไม่ปรับตัว อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีคาร์บอน ค่าปรับ หรือข้อจำกัดทางการค้า โดยเฉพาะมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งอาจจำกัดสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงจากการเข้าสู่ตลาดสากล
สาระสำคัญของกฎหมายที่ธุรกิจต้องรู้
ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ฉบับรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2) ประกอบด้วย 202 มาตราใน 14 หมวด โดยเน้นสาระสำคัญที่เกี่ยวกับภาคธุรกิจที่คาร์บอนไวซ์สรุปมาให้แล้ว ดังนี้:
หมวด 4: กองทุนภูมิอากาศ
เพื่อสนับสนุนธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รัฐบาลจัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" ซึ่งนำเงินจากค่าปรับและรายได้อื่นๆ มาสนับสนุนทางการเงินให้ธุรกิจที่ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม โดยสิทธิประโยชน์ที่ธุรกิจสามารถใช้ได้ ได้แก่:
- สิทธิ์ลดหย่อนภาษี สำหรับธุรกิจที่ลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว
- เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับโครงการลดก๊าซเรือนกระจก
- เงินช่วยเหลือและเงินสนับสนุน สำหรับการใช้พลังงานสะอาด
หมวด 6: ข้อมูลก๊าซเรือนกระจก
ธุรกิจในกลุ่มต่อไปนี้ต้องส่งรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อภาครัฐ:
- พลังงาน (เช่น โรงไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน)
- การขนส่ง (เช่น โลจิสติกส์ สายการบิน)
- อุตสาหกรรมหนัก (เช่น เหล็ก ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์)
- เกษตรกรรม (เช่น ปศุสัตว์ การเพาะปลูกขนาดใหญ่)
- การจัดการของเสีย (เช่น โรงงานรีไซเคิล โรงกำจัดขยะ)
โดยมีข้อกำหนดว่าข้อมูลที่รายงานต้องผ่านการตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง หากพบข้อมูลเท็จ อาจถูกลงโทษทางกฎหมาย
หมวด 8: ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme - ETS)
รัฐจะกำหนด "โควตาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" ให้แต่ละอุตสาหกรรม หากปล่อยเกินโควตา ธุรกิจต้องซื้อสิทธิการปล่อยก๊าซจากองค์กรอื่น หากสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ต่ำกว่าโควตา อาจขายโควตาที่เหลือให้บริษัทอื่น ซึ่งเป็นโอกาสลดต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างรายได้ทางธุรกิจ
หมวด 10: ระบบภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)
ธุรกิจที่ผลิตสินค้าหรือใช้พลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ต้องเสียภาษีตามอัตราที่กำหนด
- ตัวอย่างสินค้าที่อาจถูกเก็บภาษีคาร์บอน เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ซีเมนต์ และพลาสติก
- การใช้เทคโนโลยีสีเขียวหรือพลังงานสะอาด สามารถช่วยลดภาระภาษีได้
หมวด 11: คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)
ธุรกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงไม่ได้ สามารถซื้อคาร์บอนเครดิตภายในประเทศเพื่อชดเชย แต่หากซื้อจากต่างประเทศต้องได้รับอนุญาตก่อน อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ยั่งยืนกว่าคือ การปรับปรุงกระบวนการผลิต ใช้พลังงานสะอาด และนวัตกรรมสีเขียว ซึ่งช่วยให้ธุรกิจแข่งขันได้ในระยะยาวและสอดคล้องกับนโยบายสิ่งแวดล้อมระดับสากล
หมวด 14: บทลงโทษสำหรับธุรกิจที่ละเลยมาตรการสิ่งแวดล้อม
หากธุรกิจละเลยข้อกำหนดของ พ.ร.บ. โลกร้อน อาจต้องเผชิญบทลงโทษที่เข้มงวด:
- ปกปิด หรือให้ข้อมูลเท็จ – ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท หรือ สามเท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ
- ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินโควตา – ปรับสามเท่าของราคาสิทธิปล่อยก๊าซ
- ไม่ชำระภาษีคาร์บอน – ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท หรือ สามเท่าของผลประโยชน์
- ละเลยการเสียภาษีคาร์บอน – จำคุกสูงสุด 3 ปี ปรับไม่เกิน 400,000 บาท
- ไม่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต – ปรับ 10,000–100,000 บาท และปรับรายวันสูงสุด 1,000 บาท
เจ้าของธุรกิจควรเตรียมตัวอย่างไร?
1. เริ่มวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมทันที – ตรวจวัด คาร์บอนฟุตพริ้นต์ขององค์กร อย่างต่อเนื่องและตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซ
2. ใช้สิทธิประโยชน์จากกองทุน – หากธุรกิจต้องการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว ควรศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินสนับสนุน
3. บริหารความเสี่ยงจากภาษีคาร์บอน – หากธุรกิจใช้พลังงานคาร์บอนสูง ควรพิจารณาทางเลือกด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดภาระภาษี
4. พัฒนาแผนความยั่งยืนขององค์กร – ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นโอกาสสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
Carbonwize เข้าใจถึงความซับซ้อนของข้อมูล ภาระต้นทุนที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในการจัดทำรายงานก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ทั้งค่าที่ปรึกษา ค่าทวนสอบของข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นต์และกระบวนการจัดทำรายงาน ด้วยเหตุนี้ เราจึงพัฒนาแพลตฟอร์มที่ช่วยลดต้นทุน ลดระยะเวลา และเพิ่มความสะดวกในการจัดทำรายงานและเปิดเผยข้อมูลด้านคาร์บอน หากธุรกิจของท่านต้องการโซลูชันที่มีประสิทธิภาพ คาร์บอนไวซ์ เราพร้อมให้ความช่วยเหลือ
📧 ติดต่อทีมงานเพื่อคำปรึกษา: ติดต่อเรา
แหล่งข้อมูล : Thai Climate Justice for All, Parliament of Thailand, Law.go.th